แผลเป็น ถือเป็นอุปสรรคที่ทำให้สาว ๆ วิตกกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะสร้างความไม่มั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก ยิ่งมีรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด เช่น บริเวณใบหน้า ไหล่ หลัง หรือบนขาสวย ๆ ของคุณ เพราะโดยธรรมชาติของผู้หญิงแล้ว ย่อมต้องการแต่งตัวสวย ๆ เพื่อให้น่ามอง หากต้องการแต่งตัวแบบเปิดหลัง เปิดไหล่ กางเกงขาสั้น ก็ทำไม่ได้ เพราะมีรอยแผลเป็นมาคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้สาว ๆ มองหาตัวช่วยในการศัลยกรรมแผลเป็น เพื่อให้ผิวกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ไม่ต้องมาคอยรบกวนจิตใจอีกต่อไป สร้างความมั่นใจในการแต่งตัว หรือพบปะผู้คนมากยิ่งขึ้น รีวิวศัลยกรรมแผลเป็น ถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ให้กับสาว ๆ ที่มีปัญหาแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แผลเป็น มีกี่ชนิด
รีวิวศัลยกรรมแผลเป็น แผลเป็นมีลักษณะหลายรูปแบบ แต่แผลเป็นที่ถือว่าผิดปกตินั้นจะแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
- แผลเป็นที่โตนูน แผลเป็นที่โตนูนมี 2 แบบคือ
- แผลเป็นนูนเกิน หรือ hypertrophic scar เป็นแผลเป็นที่โตนูน แต่ไม่เกินขอบเขตของแผลเดิม ในระยะแรกจะมีลักษณะนูน แดง คัน
- แผลเป็นคีลอยด์ เป็นแผลเป็นที่โตนูน และขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิมไปมาก
- แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปที่เรียกว่า depressed scar มีลักษณะเป็นร่อง หรือรูบุ๋มลึกลงไปใต้ผิวหนัง
- แผลเป็นที่มีการหดรั้งร่วมด้วย เรียกว่า scar contracture แผลเป็นชนิดนี้จะดึงรั้งอวัยวะบริเวณแผลให้ผิดรูปได้
แผลเป็นเกิดขึ้นได้อย่างไร
แผลเป็นเกิดขึ้นจากการรักษาแผลที่ร่างกายสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นแผลจากอุบัติเหตุ แผลผ่าตัด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ร่างกายจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คอลลาเจน เพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ ทำให้บาดแผลหายเป็นปกติ จนเมื่อเวลาผ่านไปสัก 3 เดือน คอลลาเจนใหม่ก็ยังถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเลือดก็มาเลี้ยงมากขึ้นจนแผลนูนเป็นก้อนแข็งและแดง หากคอลลาเจนเหล่านี้หยุดสร้าง และเลือดที่มาเลี้ยงลดลง แผลเป็นจะค่อย ๆ เรียบ นุ่มลง และจางไปในที่สุด การเกิดแผลเป็นในแต่ละคนไม่เหมือนกัน พันธุกรรมก็มีส่วนในการเกิดแผลเป็น โดยบริเวณที่ทำให้เกิดแผลได้ง่ายคือ หน้าอก หลัง ติ่งหู และบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อเช่น หัวเข่าและไหล่ ยิ่งทำให้แผลเป็นขยายออกกว้างขึ้นได้อีก
การรักษาแผลเป็นมีกี่วิธี
หากพบว่ามีแผลเป็นเกิดขึ้นแล้ว จะเริ่มจากการรักษาโดย
- วิธีอนุรักษ์หรือว่า conservative ก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วพบว่าเกิน 95 % รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีที่แนะนำให้ใช้วิธีแรกคือ การใช้แผ่นซิลิโคนปิด แผ่นซิลิโคนนี้จะเป็นแผ่นเจลใส ๆที่ทำมาจากซิลิโคน เราสามารถปิดไว้บนบาดแผล หลังจากบาดแผลหายดีแล้วประมาณ 7 วัน การปิดแผลนี้แนะนำให้ปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งข้อดีจะทำให้บริเวณผิวหนังที่อยู่ใต้แผ่นซิลิโคนนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทำให้ลดการอักเสบได้
- เนื่องจากว่าบางครั้งเราพบว่าการปิดด้วยซิลิโคนอาจจะไม่สะดวก การใช้แผ่นเทปเหนียว หรือว่า microporous tape ก็จะสามารถทดแทนได้เช่นเดียวกัน แผ่นเทปเหนียวนี้สามารถใช้ปิดลงบนบาดแผลได้โดยตรง และจะทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ต่อเทปนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทำให้มีการอักเสบลดน้อยลง
- การฉีดยาด้วยสารสเตียรอยด์ เป็นการลดการอักเสบของการเกิดแผลเป็นนูนหรือเกิดคีลอยด์ได้ ซึ่งเป็นยาฉีดเฉพาะที่ สามารถลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี เป็นการฉีดยาเข้าไปที่แผลโดยตรง ทำให้เกิดอาการเจ็บได้พอสมควรในระหว่างการฉีดยา แนะนำให้ฉีดแผลเป็นช่วงระยะเวลาไม่เกินประมาณ 1 ปี เพราะจะทำให้ผลลัพธ์ดีมากกว่า ส่วนใหญ่แล้วจะนัดมาฉีดเดือนละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาว่าเป็นอย่างไร
- การผ่าตัด การผ่าตัดสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นนั้น หากเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ เราอาจจะใช้วิธีตัดออก หรืออาจจะใช้การรักษาร่วมกับวิธีอื่น เช่นการฉีดยา หรือการปิดแผลด้วยซิลิโคน หรือใช้วิธีตัดออกโดยตรง แล้วเย็บปิดเป็นเส้นตรง หรือซิกแซกเพื่อให้แผลที่เกิดใหม่มีลักษณะใกล้เคียงกับรอยย่นตามผิวหนัง
ป้องกันการเกิดแผลเป็นได้อย่างไร
การรักษาแผลเป็นให้ดีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นแผลจากของมีคม แผลจากการเย็บ แผลผ่าตัดหรือแผลจากสิว ขั้นตอนแรกของการทำแผล ควรใช้น้ำเย็นล้างทำความสะอาด แล้วเช็ดรอบ ๆ แผล ด้วยสบู่หรือผ้าสำหรับทำความสะอาด เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ควรใช้ผ้าปิดแผลเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย สิ่งสกปรก และสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคือง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผลหายเร็วขึ้น ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้เป็นอย่างดีสำคัญคือห้ามเขี่ย แคะ แกะ และเกาแผลเป็นอันขาด เพราะจะเป็นการเปิดแผลขึ้นอีกครั้ง และเสี่ยงต่อแบคทีเรีย ซ้ำร้ายยังอาจทำให้แผลเป็นมีขนาดใหญ่ขึ้น