ปากแหว่ง คือ อาการที่ริมฝีปากบนแยกออกจากกัน โดยที่ 2 ซีกของใบหน้าไม่สามารถประกบกันได้พอดี เป็นอาการที่พบกับทารก เช่นเดียวกับเพดานโหว่ และปากแหว่งเพดานโหว่ (cleft lip and cleft palate) เป็นความพิการของใบหน้าที่เกิดกับทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งปัจจุบันนี้สามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยการทำศัลยกรรมตกแต่งปากแหว่ง
ผลกระทบเมื่อเกิดเป็นโรคปากแหว่ง
- อาจทำให้เด็กรู้สึกมีปมด้วย เนื่องจากมีปัญหาในด้านการพูด ทำให้พูดช้า พูดออกเสียงไม่ชัด
- เนื่องจากเกิดความผิดปกติของโครงสร้างริมฝีปากเพดานและจมูก จึงทำให้มีความผิดปกติของโครงสร้างของฟันและการสบกันของฟัน
- เนื่องจากมีความลำบากในการดูดกลืนอาหาร จึงมีผลต่อการเจริญเติบโต และ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ช้า
- มีปัญหาในการดูดกลืนอาหาร เนื่องจากทำให้นมไหลย้อนขึ้นไปที่จมูกผ่านช่องเพดานโหว่ เกิดการระคายเคืองจมูก ยิ่งทานนมผสมจะมีอาการมากกว่าทานนมแม่ ทำให้ทารกกระสับกระส่าย ร้องไห้ กวนบ่อย และไม่อยากดูดนม
- การดูดกลืนนม หรืออาหารที่ยากลำบาก อาจทำให้สำลัก ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
สาเหตุของการเกิดโรค
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การใช้ยา รวมไปถึงสารเคมีต่าง ๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การใช้ยากันชัก การขาดโฟเลต เป็นต้น
- ความผิดปกติระดับยีนทำให้เกิดการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น
อาการของโรค
ปากแหว่งเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้จากภายนอก คือ มีรอยแยกของริมฝีปากบนและอาจเป็นไปจนถึงเหงือกและเพดานปากส่วนหน้าได้ด้วย อาจเป็นด้านเดียวหรือสองด้าน
ส่วนเพดานโหว่ คือ รอยแยกที่เพดานอ่อนไปจนถึงเพดานแข็ง อาจมีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อที่เปิดปิดทางระบายหูชั้นกลางผิดปกติ มีน้ำคั่งในหูชั้นกลางส่งผลให้การได้ยินลดลง มีโครงสร้างของกระดูกใบหน้าส่วนกลางผิดปกติ มีการสบกันของฟันผิดปกติ ทำให้มีปัญหาการพูด พูดไม่ชัด เสียงขึ้นจมูก
การตรวจวินิจฉัย
สามารถตรวจได้จากการทำ ultrasound ซึ่งสามารถทำได้เมื่อครรภ์มีอายุประมาณ 16 สัปดาห์ขึ้นไป เมื่อทราบว่าทารกในครรภ์มีความผิดปกติจะได้มีการเตรียมตัวในการดูแล เช่น เทคนิคการป้อนนม และสร้างเสริมความเข้าใจของครอบครัวเกี่ยวกับโรค รวมถึงส่งต่อเพื่อรักษาต่อเนื่องกับแพทย์และทันตแพทย์เฉพาะทาง
การผ่าตัดตกแต่งปากแหว่งตามช่วงเวลา
การผ่าตัดริมฝีปาก (Cheiloplasty) ทำได้เมื่ออายุ 10 สัปดาห์
การผ่าตัดเพดานปาก (Palatoplasty) ทำได้เมื่ออายุ 9 – 18 เดือน
การผ่าตัดคอหอย (Pharyngoplasty) ทำได้เมื่ออายุ 3 – 5 ปี
การผ่าตัดปลูกกระดูก (Alveolar cleft bone graft) ทำได้เมื่ออายุ 6 – 9 ปี
การผ่าตัดขากรรไกร (Orthognathic surgery) เพศหญิงทำได้เมื่อ 14- 16 ปี เพศชายทำได้เมื่ออายุ 16 – 18 ปี
การผ่าตัดแก้ไขจมูก (Septorhinoplasty) หลังการผ่าตัดขากรรไกร
ปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการที่มีความท้าทายในการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากแพทย์ ทันตแพทย์หลายสาขา ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอดออกมา โดยมีเป้าหมายของการรักษา คือ
- มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ
- มีเพดานปากที่ต่อเนื่อง ส่งเสริมให้เด็กสามารถพูดและรับประทานอาหารได้อย่างปกติ
- มีสุขภาพช่องปาก และการสบฟันที่ปกติ
- มีความสวยงามของบริเวณริมฝีปากและจมูกที่ดี
บทความแนะนำ กระชับจุดซ่อนเร้น By Rattinan.com
วิธีการรักษา
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ควรได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยในแต่ละช่วงวัย จะมีการรักษาและแก้ไขอาการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป โดยใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพมาร่วมกันรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยต้องได้รับผ่าตัดตามวัย ซึ่งอาจมากกว่า 1 ครั้ง ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลและผ่าตัดอย่างถูกวิธีจะลดความพิการกลับมาอยู่ในภาวะปกติได้
ในช่วงทารก แพทย์จะเริ่มจากการใช้อุปกรณ์ปรับตำแหน่งปากบน จมูก และเพดานปาก (nasoalveolar molding หรือ NAM) และรับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปากแหว่งในระยะต่อมา และเมื่อเด็กโตขึ้นจะเริ่มรักษาเพดานโหว่ เพื่อช่วยให้เด็กพูดได้ชัด รวมถึงมีการจัดฟันและผ่าตัดกระดูกขากรรไกรบนร่วมด้วยเพื่อให้การสบฟันเป็นปกติตลอดวัยเด็ก
การป้องกันอาการปากแหว่งเพดานโหว่
- ในระหว่างการตั้งครรภ์ การที่จะรับประทานยาควรปรึกษาคุณหมอ หรือเภสัชกร ทุกครั้ง
- รับประทานอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และเน้นอาหารที่มีกรดโฟลิคสูง เช่น บรอคโคลี เมล็ดธัญพืช ตับ เป็นต้น
- คุณแม่ตั้งครรภ์ควรงดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์
- คุณแม่ควรหาเวลาทำกิจกรรมเพื่อเป็นการลดความเครียด
- คุณแม่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- คุณแม่ควรหาเวลาออกกำลังกาย
- คุณแม่ควรได้รับวิตามิน บี 6 วิตามินบี 12 ธาตุสังกะสี และกรดโฟลิค ก่อนตั้งครรภ์ประมาณ 2 เดือน จนกระทั่ง 3 เดือนหลังการตั้งครรภ์
บทสรุป
ศัลยกรรมตกแต่งปากแหว่ง โรคปากแหว่งเป็นโรคที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด ซึ่งแพทย์จะใช้การรักษาตามช่วงอายุ ซึ่งสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 10 เดือนขึ้นไป โดยจะต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาร่วมดูแลเป็นทีม เช่น กุมารแพทย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ทันตแพทย์ นักฝึกพูด โดยจะมีการวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยและให้คำแนะนำการผ่าตัดผู้ป่วยแต่ละขั้นตอนอย่างเป็นระบบตามความจำเป็นและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด