ปัจจุบันได้มีเทคนิคการผ่าตัด เสริมสะโพก เสริมก้น แบบใช้ซิลิโคน เป็นการศัลยกรรมที่นิยมมากในสาว ๆ ที่ไม่มีก้น ใส่กางเกงแล้วไม่สวย ก้นแฟบ ไม่มีความมั่นใจ ใส่กางเกงแล้วสะโพกไม่ผาย การศัลยกรรมเสริมก้น ก็เป็นทางเลือกที่ดี ให้คนที่ต้องการเสริมสะโพก เสริมก้น ทั้งหลาย เพื่อให้มีรูปร่างที่สวยงาม สมสัดส่วน และหลาย ๆ คนคงสงสัยเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมก้น เสริมสะโพกว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ใส่ซิลิโคนกันตรงไหน
- การศัลยกรรมเสริมก้น เป็นการเสริมเพื่อเพิ่มส่วนด้านหลังให้นูนขึ้นมา เพื่อให้มีรูปทรงกลมกลึง
- การศัลยกรรมเสริมสะโพก เป็นการเสริมส่วนสะโพกด้านข้างให้ผายออกมา เพื่อให้รูปร่างดูมีส่วนเว้า โค้งสวยงาม
การเสริมก้น เสริมสะโพกเหมาะกับใคร ?
- ก้นเล็กตั้งแต่กำเนิด ลีบ แฟบ ต้องการใส่กางเกงรัดรูป หรือบิกินี่ให้ดูเข้ารูปมากขึ้น
- ผู้ที่เคยเสริมหน้าอกแล้ว ถ้าเสริมก้นไปอีก จะทำให้ดูมีสัดส่วนและดูเซ็กซี่มากขึ้น
- ผู้ที่ลดน้ำหนักมากเกินไป มีการยกกระชับ อาจต้องเสริมก้นเพิ่มด้วย
- ผู้ที่มีปัญหาบั้นท้ายหย่อนยานตามวัย ต้องการเสริมให้ดูเต่งตึงขึ้น
การเสริมสะโพกสามารถทำได้ 3 วิธี
เสริมโดยฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์
การเสริมสะโพกด้วยการฉีดฟิลเลอร์บริเวณสะโพกอาจต้องใช้ปริมาณมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย และเมื่อระยะเวลาผ่านไปฟิลเลอร์ก็จะสลายไป ทำให้ต้องฉีดใหม่อีก
เสริมด้วยการฉีดไขมัน
เสริมสะโพกวิธีนี้จะเป็นการนำไขมันในร่างกายจากส่วนอื่นมาฉีดที่สะโพก มีข้อดีตรงที่เป็นไขมันของเรา ไม่มีอันตราย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายตัวคล้ายๆ กับการฉีดฟิลเลอร์
เสริมด้วยซิลิโคน
ซิลิโคนเป็นประเภทเดียวกับที่ใช้ในการเสริมหน้าอก แต่มีลักษณะและรูปร่างไม่เหมือนกัน แพทย์มักจะแนะนำวิธีนี้ในการเสริมสะโพก เพราะให้ผลลัพธ์ถาวร มีความปลอดภัยสูงและได้รับความนิยมมากที่สุด
การเสริมสะโพก เสริมก้น ส่วนใหญ่แล้วทางคลินิกเสริมความงามต่าง ๆ จะใช้ถุงซิลิโคนเจลพิเศษเฉพาะเสริมก้น โดยจะมีความแข็งแรงและเหนียวกว่าวุ้นซิลิโคน จะมีความตึงตัวสูงจึงไม่เสียรูปทรงแม้จะมีการแตก หรือฉีกขาดในอนาคต มีความปลอดภัยและมีความคงทนสูงต่อแรงกดขณะเดิน หรือนั่ง มีด้วยกัน 2 รูปทรงคือ รูปทรงกลม หรือทรงรี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเสริมให้ตามความเหมาะสมกับแต่ละคน
การเสริมก้น เสริมสะโพกโดยซิลิโคน
ตำแหน่งการผ่าตัดวางถุงซิลิโคน
การวางถุงซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อหรือระหว่างกล้ามเนื้อ เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานที่สุดในปัจจุบัน โดยจะขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อสะโพกมัดบนและมัดล่างอาจไม่สามารถแบ่งออกได้ชัดเจน ดังนั้นการใส่ถุงซิลิโคนระหว่างกล้ามเนื้อสะโพกทั้งสองมัด สามารถทำได้ในคนไข้บางรายเท่านั้น การจะเปิดช่องระหว่างกล้ามเนื้อสะโพก 2 มัด และการใส่ถุงใต้กล้ามเนื้อสะโพกมัดใหญ่มักได้ผลเช่นเดียวกับการเปิดโพรงใต้กล้ามเนื้อ
แต่ไม่แนะนำ ให้วางการวางถุงซิลิโคนไว้เหนือกล้ามเนื้อ ใต้ผิวหนัง เนื่องจากซิลิโคนมักจะเคลื่อนที่ง่าย ตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย และอาจเห็นรูปร่างของถุงซิลิโคนชัดเจนหลังจากยุบบวมแล้วและมีโอกาสเกิดการทะลุของถุงซิลิโคนในคนไข้บางรายได้
เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการผ่าตัด ต้องเข้ารับการโดยร่างกายโดยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเพื่อเตรียมความพร้อม ทั้งตรวจร่างกาย การซักประวัติ การป่วย การทำศัลยกรรม การแพ้ยา เพื่อประเมินร่างกายผู้รับการผ่าตัด และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ไม่ควรผ่าตัด
- งดยาแอสไพริน บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดอาหารประเภทกระเทียม หัวหอม น้ำมันปลา วิตามินอี และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองก่อนผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะอาหารพวกนี้มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เลือดออกมากระหว่างผ่าตัดได้
- งดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- การผ่าตัดเสริมสะโพกไม่ควรทำร่วมกับการผ่าตัดอื่น ๆ บริเวณส่วนหน้าของร่างกาย เช่น การตัดไขมันหน้าท้องหรือการเสริมหน้าอก เพราะจะมีปัญหาในการดูแลหลังผ่าตัด ยกเว้นการดูดไขมันเล็กน้อยอาจทำร่วมกันได้
- ควรมีผู้ดูแลที่บ้านหลังการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัดเสริมก้น เสริมสะโพก
- ดูแลทำความสะอาดแผลผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
- ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 15 วัน
- แผลผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จะติดสนิทและตัดไหมได้
- ในช่วง 3 วันแรกให้นอนคว่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณแผล
- หลังจาก 3 วัน เริ่มนอนหงายหรือนั่งได้พอสมควร
- หลัง 1 เดือน สามารถเดินหรือนั่งได้เต็มที่
- หลังผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาบริเวณสะโพก-ก้น เพราะมีถุงซิลิโคนอยู่บริเวณนั้น