แผลเป็น (scar) คือ รอยแผลที่เกิดหลังจากการหายของแผลซึ่งเกิดจากกระบวนการหายของแผลที่ไม่สมบูรณ์ หรือเกิดจากความผิดปกติของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะไม่เหมือนกับผิวหนังปกติก่อนเกิดรอยแผล และปัจจุบันนี้การรักษารอยแผลเป็นสามารถใช้ศัลยกรรมตกแต่งแผลเป็นเข้ามาช่วยได้
สาเหตุการเกิดแผลเป็น
เกิดจากการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ ซึ่งร่างกายจะมีวิธีในการรักษาตัวเอง เช่น การสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดว่าตื้นลึกขนาดไหน การดูแลรักษาความสะอาดแผลดีมากน้อยเพียงใด เมื่อเกิดความผิดพลาดในกระบวนการรักษาตัวเองก็จะทำให้เกิดรอยแผลเป็น
อาการของแผลเป็น
แผลเป็นมีหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ละแบบก็จะมีลักษณะอาการแตกต่างกันออกไป โดยแผลเป็นในระยะแรกๆ จะเป็นสีแดง หรือสีน้ำตาลนูนแล้วจางหายไป
- แผลเป็นแบบโตนูน แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ
- แผลเป็นโตนูนเกิน (Hypertrophic) มีลักษณะโตนูนจากผิวหนังเล็กน้อยแต่มีขนาดไม่เกินจากขอบเขตเดิม เมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ปี แผลเป็นแบบนี้จะจางลง หรือค่อย ๆ ยุบตัวแบนราบได้
- แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) มีลักษณะโตนูนคล้ายชนิดแรก แต่ตัวแผลจะนูน หรือกว้างเกินขอบเขตจากแผลเดิมไปมาก และความผิดปกติดังกล่าวจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ ไม่สามารถยุบหายไปเองได้
- แผลเป็นบุ๋มลึกลงไป (depressed scar) แผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรูบุ๋มลึก หรือเป็นร่องลงไปใต้ผิวหนัง
- แผลเป็นหดรั้ง (scar contracture) แผลเป็นที่มีลักษณะดึงรั้งอวัยวะรอบ ๆ บริเวณแผลให้ผิดรูป
การรักษาแผลเป็นด้วยวิธีศัลยกรรม
- ใช้การกรอ (Dermabrasion) ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารเคมี (Chemical) เครื่องมือเฉพาะหรือเลเซอร์จะได้ผลดี ในรายที่แผลมีลักษณะเป็นหลุม ร่อง หรือแผลเป็นขรุขระ
- การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแนวแผลให้เห็นชัดน้อยลง โดยแผลเป็นจะเป็นรูปซิกแซก ทำให้เห็นชัดน้อยกว่าแผลตรง ๆ
- ในกรณีที่ตัดแผลออกหมดแล้ว ไม่สามารถเย็บใหม่ได้เนื่องจากแผลมีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในบริเวณที่มีความตึงมากแพทย์จะเลือกใช้วิธีต่อไปนี้
- ใช้ผิวหนังบริเวณอื่นมาทดแทน (Skin Graft, Flap)
- ใช้ถุงน้ำเกลือทำการขยายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง (Tisssue Expansion)
- หากแผลเป็นมีขนาดใหญ่มากสามารถตัดบางส่วนของแผลที่มีปัญหาออก แล้วทำการเย็บบริเวณดังกล่าว (Sereal Scar Excision) และเมื่อแผลหายดีแล้ว จึงทำการตัดส่วนที่เหลือของแผลเป็นออกอีกครั้งจนหมด
- ตัดแผลทั้งหมดออก แล้วทำการเย็บใหม่ (Scar Excision) โดยแผลใหม่ที่เย็บจะมีขนาดเล็กลง
- การตัดใต้แผลเป็น Subcisim เป็นการตัดพังผืดใต้แผลเป็นพร้อมหลุมลึกให้ตื้นขึ้น มักต้องทำ 2 – 3 ครั้ง จึงจะได้ผลดี
บทความแนะนำ ฉีดไขมันหน้า จากเว็บไซต์ Rattinan.com
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดตกแต่งแผลเป็น
- ในช่วง 3 สัปดาห์แรกไม่ควรให้แผลโดนแดด แนะนำให้ใช้โลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่าหรือเท่ากับ 30 โดยทาบริเวณแผล
- อาบน้ำ ล้างหน้า ถูสบู่ถูกบริเวณแผลได้ทันที ในวันที่ 3
- ในบางตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น บริเวณรอบปาก อาจจะใช้เทปปิดยึดบริเวณแผลไม่ให้แผลยืดออก
- หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ใช้มือนวดที่บริเวณแผลบ่อย ๆ (เช้าหรือเย็น) ช่วยให้แผลเป็นนิ่มและเข้าที่ได้เร็วขึ้น
- ระยะเวลาตัดไหม มีดังนี้
- บริเวณหน้า 5 วัน
- บริเวณแขน 7 วัน
- บริเวณลำตัวและขา 10 – 14 วัน
วิธีการอื่น ๆ ที่ช่วยรักษาแผลเป็น
- โดยการใช้ Laser มีการใช้เพื่อให้ผิวเรียบ (Co2 Laser) และลดอาการแดง (Vascular Laser) ในการรักษาแผลเป็น ต้องใช้การผสมผสานวิธีการรักษาประมาณ 2 – 3 ชนิด เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
- การฉีดสารเติมเต็มได้แก่ คอลลาเจน หรือ ไฮยาลูแลน จะช่วยให้แผลหลุมตื้นขึ้นได้ การฉีดสารทำได้เฉพาะในแผลหลุมที่สามารถยืดขึ้นได้
- โบทอกใช้กับแผลที่เป็นบริเวณรอบ ๆ รอยย่นของใบหน้า เช่น รอยตีนกา การฉีดโบท๊อก ช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้าดึงแผลเป็นน้อยลงทำให้แผลเป็นเห็นชัดน้อยลงด้วย
วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็น
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น เริ่มต้นจากการป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเกิดแผลแล้วมักจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษายาวนานพอสมควร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะแผลและความรุนแรง และหากดูแลรักษาบาดแผลไม่ดีก็จะกลายเป็นแผลเป็นได้ง่าย ในกรณีที่เกิดแผลเป็นใหม่ ๆ ให้หมั่นนวดเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอในช่วงระยะเวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือนแรก เพื่อลดการขยายตัวและลดโอกาสการกลายเป็นแผลเป็นนูนได้
บทสรุป
ศัลยกรรมตกแต่งแผลเป็น นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้ผู้ที่เป็นแผลเป็นไม่มีริ้วรอยของรอยแผลเป็นให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนต้องการ เพราะไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นร่องรอยที่ไม่พึงปรารถนา ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านสามารถเข้ารับบริการรักษาแผลเป็นด้วยการทำศัลยกรรมกับสถานบริการที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรอคอยให้บริการท่าน